หนังสือ "The ONE Thing: ได้ทุกสิ่งด้วยสิ่งเดียว" เขียนโดย แกรี เคลเลอร์ (Gary Keller) และเจย์ แพพาสัน (Jay Papasan) นำเสนอแนวคิดที่ทรงพลังว่าการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ไม่ได้มาจากการทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน แต่มาจากการทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่ "สิ่งเดียว" ที่สำคัญที่สุด ณ เวลานั้นๆ หนังสือเล่มนี้ได้ท้าทายความเชื่อเดิมๆ เกี่ยวกับการทำงานและให้เครื่องมือที่นำไปปรับใช้ได้จริงเพื่อค้นหาและลงมือทำ "สิ่งเดียว" นั้น
หลักการสำคัญและแนวคิดหลัก:
-
The ONE Thing (หลักการ "สิ่งเดียว"):
- หัวใจหลักของหนังสือคือ การระบุ "สิ่งเดียว" ที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้ ซึ่งเมื่อทำสำเร็จแล้ว จะทำให้สิ่งอื่นๆ กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นหรือไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป
- ผู้เขียนเชื่อว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาจากการจดจ่ออย่างเข้มข้นกับสิ่งเดียว แทนที่จะกระจายพลังงานไปกับหลายๆ อย่างพร้อมกัน
- การทำน้อยลงไม่ใช่การขี้เกียจ แต่เป็นการจดจ่อกับสิ่งที่ควรทำจริงๆ และมองข้ามสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป
-
ปรากฏการณ์โดมิโน (The Domino Effect):
- ความสำเร็จสร้างขึ้นตามลำดับ เหมือนการล้มโดมิโน โดมิโนตัวหนึ่งสามารถล้มตัวที่ใหญ่กว่าตัวเองได้ถึง 50%
- การเริ่มต้นทำ "สิ่งเดียว" ที่สำคัญที่สุด ก็เหมือนการล้มโดมิโนตัวแรก ซึ่งจะสร้างโมเมนตัมและแรงผลักดันให้งานอื่นๆ หรือเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นสำเร็จตามมาได้ง่ายขึ้น
-
คำถามนำ (The Focusing Question):
- เครื่องมือสำคัญในการค้นหา "สิ่งเดียว" คือการถามตัวเองด้วย "คำถามนำ" ที่ว่า: "อะไรคือสิ่งเดียวที่ฉันสามารถทำได้ ซึ่งเมื่อทำสิ่งนั้นแล้ว จะทำให้เรื่องอื่นๆ ง่ายขึ้น หรือไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป?"
- คำถามนี้ช่วยให้เราคิดการใหญ่ (Big Picture) แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเฉพาะเจาะจง (Specific) กับสิ่งที่จะลงมือทำในตอนนี้ (Small Focus)
- ควรใช้คำถามนี้กับทุกมิติของชีวิต ทั้งเป้าหมายระยะยาว (เป้าหมายสูงสุดในชีวิต) และเป้าหมายระยะสั้น (สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ วันนี้ สัปดาห์นี้)
-
ความเชื่อผิดๆ 6 ประการที่ขัดขวางความสำเร็จ: หนังสือได้หักล้างความเชื่อที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้นพบและทำ "สิ่งเดียว" ได้แก่:
- ทุกเรื่องมีความสำคัญเท่าเทียมกัน: ความจริงคือไม่ใช่ทุกอย่างจะให้ผลลัพธ์เท่ากัน เราควรใช้หลักการ 80/20 (กฎพาเรโต) คือ หา 20% ของงานที่ให้ผลลัพธ์ 80% และทุ่มเทกับสิ่งนั้น แทนที่จะเสียเวลากับ To-do list ที่ยาวเหยียด ให้สร้าง "Success List" ที่เน้นเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริงๆ
- การทำหลายสิ่งพร้อมกันเป็นเรื่องดี (Multitasking): การทำหลายอย่างพร้อมกันเป็นเรื่องโกหก แท้จริงแล้วคือการสลับงานไปมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เสียสมาธิ ลดประสิทธิภาพ และเพิ่มความผิดพลาด ควรจดจ่อทำทีละอย่างให้เสร็จ
- คนเราต้องมีระเบียบวินัย (A Disciplined Life): ความสำเร็จไม่ได้ต้องการวินัยที่เข้มงวดตลอดเวลา แต่ต้องการ "วินัยที่เลือกใช้" เพื่อสร้างนิสัยที่ถูกต้องเพียงไม่กี่อย่าง การสร้างนิสัยใหม่แต่ละอย่างต้องใช้เวลา (เฉลี่ย 66 วัน) และเมื่อกลายเป็นนิสัยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วินัยมากเท่าเดิม
- พลังใจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ (Willpower Is Always on Will-Call): พลังใจ (Willpower) มีจำกัดและลดลงเมื่อถูกใช้งาน เหมือนแบตเตอรี่ ควรทำงานที่สำคัญที่สุด (สิ่งเดียวของคุณ) ในตอนเช้าที่พลังใจยังเต็มเปี่ยม และจัดการตารางเวลาให้สอดคล้องกับพลังใจที่มี
- คนเราควรมีชีวิตที่สมดุล (A Balanced Life): ชีวิตที่สมดุลตลอดเวลาเป็นเรื่องลวงตา การทุ่มเทให้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมทำให้เสียสมดุลไปบ้าง สิ่งที่ควรทำคือการ "ถ่วงดุล" (Counterbalance) คือ ให้เวลากับเรื่องสำคัญอย่างเต็มที่ แล้วค่อยกลับมาให้เวลากับเรื่องอื่นๆ อย่างเหมาะสมในช่วงเวลาอื่น
- ไม่ควรคิดการใหญ่ (Big Is Bad): การคิดเล็กจำกัดศักยภาพของเรา ควรกำหนดเป้าหมายให้ใหญ่ ท้าทาย และคิดถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ การคิดใหญ่จะนำไปสู่การลงมือทำที่แตกต่างและผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา
-
ผลลัพธ์อันน่าทึ่ง (Extraordinary Results): การจะบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ:
- เป้าหมาย (Purpose): การรู้ว่า "สิ่งเดียว" ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคุณคืออะไร หรือเป้าหมายสูงสุดที่คุณต้องการคืออะไร
- สิ่งที่สำคัญที่สุด (Priority): การใช้คำถามนำเพื่อกำหนด "สิ่งเดียว" ที่ต้องทำในตอนนี้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนั้น
- ผลงาน (Productivity): การลงมือทำ "สิ่งเดียว" ที่สำคัญที่สุดอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้เทคนิค "การบล็อกเวลา" (Time Blocking) คือ การจัดสรรเวลาเฉพาะสำหรับทำ "สิ่งเดียว" นั้นโดยไม่มีการรบกวน และปกป้องช่วงเวลานั้นอย่างจริงจัง
-
โจรขโมยประสิทธิภาพ 4 ประเภท (The Four Thieves of Productivity): สิ่งที่มักจะเข้ามาขัดขวางการจดจ่อกับ "สิ่งเดียว" ของคุณ:
- การไม่สามารถปฏิเสธ (Inability to Say "No"): การตอบตกลงกับทุกเรื่องทำให้คุณไม่มีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธคำขอที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ
- ความกลัวความวุ่นวาย (Fear of Chaos): การมุ่งเน้นไปที่สิ่งเดียว อาจทำให้เรื่องอื่นๆ ดูยุ่งเหยิงไปบ้าง ต้องยอมรับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในเรื่องที่ไม่สำคัญ
- นิสัยสุขภาพที่ไม่ดี (Poor Health Habits): การไม่ดูแลสุขภาพ (การกิน การนอน การออกกำลังกาย) จะลดพลังงานและประสิทธิภาพในการทำงาน
- สภาพแวดล้อมที่ไม่สนับสนุน (Environment Doesn't Support Your Goals): คนรอบข้างหรือสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการจดจ่อ อาจเป็นอุปสรรคได้
สรุป:
หนังสือ "The ONE Thing" สอนให้เราลดความซับซ้อนในชีวิตและการทำงานโดยการค้นหาและจดจ่อกับ "สิ่งเดียว" ที่สำคัญที่สุดในแต่ละช่วงเวลา การใช้ "คำถามนำ" อย่างสม่ำเสมอ การเอาชนะความเชื่อผิดๆ ที่ฉุดรั้งเราไว้ และการลงมือทำอย่างมีวินัยผ่านการบล็อกเวลา จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมและชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น มันคือการทำน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น โดยการเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง